วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

———————————————————————————————
Where do you want to go? I’ll help you. (อยากไปไหนครับ เดี๋ยวผมบอกทางให้)
———————————————————————————————

ร้อนก็ร้อน แผนที่ก็ดูไม่รู้เรื่อง ถามใครก็เบือนหน้าหนีกันหมด พอเจอเราออกตัวแบบนี้นักท่องเที่ยวรักตายเลยครับ ถ้าสถานที่อยู่ใกล้แถมเรารู้ทางด้วยทุกอย่างก็ง่ายมาก เพียงจำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับการบอกทิศทางให้ได้ก็พอ ซึ่งหลักๆก็คือตรงไปกับให้เลี้ยวนั่นเอง หลายคนคงพอรู้อยู่แล้วนะครับ เอ้าเรามาทวนกันดู
  • You need to go straight ahead (เดินตรงไปเลย)
  • Then make a right/left turn (จากนั้นเลี้ยวซ้าย/ขวานะ)
————————————–
We’re at… – ตอนนี้พวกเราอยู่ที่…
————————————–

พอเสนอตัวแล้วก็บอกเค้าไปซะว่าเราอยู่ไหนกันแน่ ฝรั่งบางคนมาเที่ยวครั้งแรกเนาะ ก็ต้องเข้าใจว่าเค้าคงไม่รู้จริงๆหรอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแล้ว ถึงเวลาทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีก็คราวเนี้ย เล็งจุดบนแผนที่ให้ดีแล้วก็จิ้มบอกเค้าไปซะว่า “Right now, we’re at Huaykaew Road” (คือตอนนี้เราอยู่บนถนนห้วยแก้วนะครับ)
————————————————————————
It’s just around the corner – ใกล้แล้วๆ ตรงหัวมุมข้างหน้านี่เอง

————————————————————————
กรณีสถานที่อยู่ในระยะเผาขนก็พูดง่ายๆแบบนี้แหละครับ ไหนๆก็ไหนๆเดินไปส่งเค้าด้วยสิ (Let me walk you there.) โอ้โหน่าประทับใจขนาดนี้ สร้างภาพลักษณ์ดีๆได้สบาย งานนี้ฝรั่งได้รู้เลยว่าคนไทยมีน้ำใจจริงๆนะ
——————————————————————–
You have to go that way – เดินไปทางนั้นเลย (ชี้นิ้วไปด้วย)

——————————————————————–
สำหรับระยะกลางๆพอเดินเท้าได้ อย่าลืมบอกระยะทางคร่าวๆด้วยนะ เดี๋ยวแทนที่จะช่วยกลับทำให้ฝรั่งหลงทาง เช่น Go that way for about 500 meters, then turn left. (เดินไปทางนั้นซักครึ่งกิโลนะคุณ แล้วก็เลี้ยวซ้ายเลย) จังหวะนี้จะไปตรง-ซ้าย-ขวายังไงก็แล้วแต่สถานการณ์

It’s too far to walk. You should take a cab. (ไกลขนาดนี้เดินไม่ไหวมั้ง เรียกแท็กซี่ดีกว่าจ้ะ)
———————————————————————————————————

แต่ถ้าจุดหมายมันไกล๊…ไกลเหลือเกิน ก็ให้เค้านั่งแท็กซี่ไปเถอะครับ ประหยัดทั้งเรี่ยวแรงและเวลาด้วย cab ในที่นี้คือรถแท็กซี่ จะเปลี่ยนเป็น bus, van, sky train etc. ได้ตามสะดวกเลยนะครับ อย่างว่าแหละ มันมีช่องทางให้เลือกเยอะแยะ จากนั้นก็ปล่อยให้คนขับเค้าสานต่อ เราทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมแล้ว
Tips: แถมคำศัพท์เกี่ยวกับเส้นทางนิดนึง ที่เจอบ่อยๆก็มี junction (สามแยก) intersection (สี่แยก) traffic light (ไฟจราจร) lane (ซอย) on the other side of the road (อยู่บนฝั่งตรงข้ามถนน)

giving-directions-opt

2. งงด้วยคน ไปทางไหนเนี่ย??

ในทางกลับกันถ้าคุณไม่รู้ทางเลยก็อย่าทะลึ่งพยายามไปบอกทางเค้านะครับ มันมีหลายวิธีที่จะช่วยเค้าได้ อย่าเพิ่งยอมแพ้แล้วโพล่งออกไปว่า “Sorry, I don’t speak English” (โทดทีครับ ผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้) แหม่…แล้วที่พูดออกมานี่มันไม่ใช่ภาษาอังกฤษรึไงกัน….ไม่ได้ๆ เราต้องรักษาฟอร์มไว้ก่อน
————————————————————————————————–
I don’t know the way. But I’ll try to help you. (ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมจะลองช่วยดูนะ)
————————————————————————————————–

จากนี้ไปจะเป็นวลีเด็ดๆที่ใช้เพื่อ “เอาตัวรอด” ล้วนๆครับ ปกติแล้วเราจะพูดว่า “I don’t know” เฉยๆเวลาไม่รู้ แบบนี้เสียหน้าแย่เลย แค่เสริมไปหน่อยว่าเราจะพยายามช่วย แค่นี้นักท่องเที่ยวก็ซึ้งใจแล้วครับ จากนี้ไปพยายามงดพูดว่า “ไอ ด๊อนท์ โนว์” หัวชนฝาแล้วเดินจากไปแบบนี้นะครับ
——————————————————————-
Let me ask someone who knows. (เดี๋ยวถามผู้รู้ให้แล้วกัน)
——————————————————————-

เฮ้ย นี่มันโบ้ยความรับผิดชอบให้คนอื่นนี่นา…. ไม่ใช่หรอกครับ มันเหมือนกับการ “ส่งไม้ต่อ” ต่างหาก อย่างน้อยถ้าเราไม่รู้ก็ช่วยถามคนแถวๆนั้นดูก็ได้ ว่าแล้วก็บอกฝรั่งว่า Just a moment. (รอแป๊บนึงนะ) ไปถามคนแถวนั้นเป็นภาษาไทยมาให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินกลับมาบอกทางให้ตามข้อ 1. ต่อไป ห้า่มชิ่งนะครับ (ฮ่าๆๆ)
———————————————————————-
You should ask a tourism officer. (ถามเจ้าหน้าที่ดีกว่าครับ)
———————————————————————-

สุดท้ายถ้าไม่รู้จริงๆก็ให้เค้าโทรถาม call center ดีกว่าครับ เบอร์โทรของบริการให้ข้อมูลการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคือ 1672 (ไปสืบมาเรียบร้อย) อาจพูดว่า “The number is 1672.” แล้วก็ส่งไม้ต่อให้เจ้าหน้าที่อีกที
ที่มา:http://www.dailyenglish.in.th/giving-directions/
jargonfeatured-opt

ระวังให้ดี!! ถ้าคุณกำลังติดการใช้คำเหล่านี้บ่อยๆ!!

1. something like that – ประมาณนั้นอ่ะ
คุยกับบอสฝรั่งอยู่ดีๆ จะพูดถึงโปรเจ็คใหญ่โต แต่ไม่รู้จะบรรยายยังไงดันไปใช้ something like that ซะงั้นอะ อีแบบนี้ภาพลักษณ์เราคงติดลบแหงๆ แทนที่จะถูกชื่นชมในความเป็นการเป็นงาน   
Pimporn: Right now we’re working on a CSR project. We plan to get people in the area involved….umm… something like that. (ตอนนี้เรากำลังทำโปรเจ็คที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบทางสังคมค่ะ เราคิดว่าจะดึงคนในพื้นที่เข้ามาด้วย เอ่อ…ประมาณนั้นแหละค่ะ)

2. I mean – จริงๆแล้ว…
คำนี้ถ้าใช้เยอะก็น่าเบื่อพอๆกัน อะไรๆก็ I mean, I mean, I mean … จะพูดทั้งทีก็เอาให้มันถูกตั้งแต่แรกเลยดีกว่านะครับแหม่ 
วันหนึ่งคุณแฟนทำหน้าบูด ยื่นมือถือมาให้ดูไลน์
 แฟน: Who the hell is this?!! (สาวที่ไหนแชทมาห๊ะ!!)
จำเลย: Baby, I don’t even know who that is! I mean, she was a friend at work. No! I mean, we never really talked… I mean, we had to discuss work once or twice… 
(โธ่ที่รัก ใครอ่ะ เค้าไม่รู้จักด้วยซ้ำ จริงๆแล้วนั่นมันเพื่อนร่วมงาน ไม่ๆ…จริงๆแล้วเราไม่เคยคุยกันเลยนะ เอ่อ…ผมหมายความว่า เราอาจเคยคุยเรื่องงานกันครั้งสองครั้งเอ๊ง…) อ้ำอึ้งแบบนี้ก็รอเก็บซากได้เลยจ้ะ

3. like – แบบว่า
นี่ก็เป็นอีกคำที่ฮิตมาก นึกอะไรไม่ออกให้บอก like, like, like…. ความจริงถ้าเผลอใช้บ่อย ให้ตัดออกไปบ้างก็ดี
This movie is, like, really good. 
หนังเรื่องนี้อ่ะ แบบว่าดีมากๆเลยนะ
This meal is, like, the best I’ve ever had.
อาหารมื้อนี้อะ แบบว่า อรอ่ยที่สุดเท่าที่เคยกินมาเลย

4. you know – รู้ป่ะ, อ่ะนะ 
สุดท้าย มาที่วลีเด็ดอย่าง You know? ที่เราต้องเคยใช้หรือได้ยินมาบ้างแน่นอน
A: What did you mean when you say that John’s not to be trusted? (ที่เธอบอกว่าอย่าไว้ใจจอห์นอะ หมายความว่าไงหา)
B: He’s such a playboy. You know what I mean!  (หมอนั่นมันเจ้าชู้จะตาย เธอก็รู้ใช่มะ)
ที่มา:http://www.dailyenglish.in.th/4-annoying-words/

หลักการใช้ Past Simple Tense
Past Simple Tense (Tense อดีตธรรมดา)
Past  พาสท= อดีต
Simple  ซิ๊มเพิล = ธรรมดา

 หลักการใช้

Past Simple Tense ถือว่าง่ายที่สุดเลยเพราะประธานทุกตัวใช้กริยาช่องสองเหมือนกัน (เว้น was ใช้กับประธานเอกพจน์, were ใช้กับประธานพหูพจน์) ให้จำหลักสำคัญของ Tense นี้ไว้ว่า เป็นการเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต และก็จบลงไปแล้วด้วย ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจุบัน
1. ใช้เล่าเหตุการณ์ในอดีต ที่จะระบุเวลากำกับ หรือรู้กันดีว่ามันเกิดในอดีตนะ
  • เล่าเหตุการณ์ที่มีเวลากำกับ คำกำกับเวลาที่พบบ่อย ได้แก่
    – yesterday  เย็สเตอเด  เมื่อวาน
    – last + เวลา/ วัน/ สัปดาห์/ เดือน/ฤดู/  ปี เช่น
    last hour ลาสท เอาเวอะ ชั่วโมงที่แล้ว
    last night ลาสทไนท คืนที่แล้ว
    last Monday ลาสท มันเด จันทร์ที่แล้ว  last Tuesday อังคารที่แล้ว……
    last month ลาสท มันธ เดือนที่แล้ว
    last Christmas ลาสท คริสมัส คริสต์มาสที่แล้ว
    last Summer ลาสท ซัมเมอะ หน้าร้อนที่แล้ว Last winter ลาสท วินเทอะ หน้าหนาวที่แล้ว
    last year ลาสท เยีย ปีที่แล้ว
    – วินาที / นาที/ ชั่วโมง/ วัน/ สัปดาห์/ เดือน/ ปี + ago เช่น
    ten seconds ago เท็น เซเคินส อะโก สิบวินาทีที่แล้ว
    Five minutes ago ไฟฟ มินนิทส อะโก ห้านาทีที่แล้ว
    Three day ago ธรีเดส อะโก สามวันที่แล้ว
    Two weeks ago สองสัปดาห์ที่แล้ว
    one month ago หนึ่งเดือนที่แล้ว (เท่ากับ last month)
    four years agoฟอเยียส อะโก สี่ปีที่แล้วI saw Jane at the bank yesterday. ฉันพบเจนที่ธนาคารเมื่อวานI went to Jim’s party lastnight. ฉันไปงานเลี้ยงของจิมคืนที่แล้วWe studied math last Friday. พวกเราเรียนคณิตวันศุกร์ที่แล้วHe bought a radio last month. เขาซื้อวิทยุเดือนที่แล้ว
    She came to my house last year. หล่อนมาบ้านฉันปีที่แล้ว
    It rained two days ago. ฝนตกสองวันที่แล้ว
    They ate dinner two hours ago. พวกเขากินอาหารเย็นสองชั่วโมงที่แล้ว
    Jane met Jo ten days ago. เจนพบโจสิบวันที่แล้ว
    The bus arrived thirty minutes ago. รถบัสมาถึงสิบนาทีที่แล้ว
    cleaned my room two weeks ago. ผมทำความสะอาดห้องสองสัปสัปดาห์ที่แล้ว
    My dog died two years ago. หมาฉันตายสองปีที่แล้ว
    was at school yesterday. ฉันอยู่ที่โรงเรียนเมื่อวาน
    They were at home last weekend. พวกเขาอยู่บ้านเมื่อวันอยุดสุดสัปดาที่แล้ว
    We had two cups of coffee this morning. พวกเราดื่มกาแฟสองถ้วยเมื่อเช้านี้
  • เล่าเหตุการณ์ที่ไม่มีเวลากำกับก็ได้แต่รู้กันดีว่าพูดถึงเรื่องในอดีต เช่นSam : Did you go to the partylastnight. คุณไปงานปาร์ตี้ใช่ไหมคืนที่แล้ว (มีคำว่า last อดีตแน่นอน)Sim: Yes. It was the great party. Isaw Jim and Jo. I drank a lot of cola and ate  lots of pizza.
    ใช่ มันเป็นปาร์ตี้ที่ยอดเยี่ยม ฉันเห็นจิมและโจ ฉันดื่มน้ำอัดลมเยอะมาก และฉันกินพิซซ่าเยอะมากจากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าซิมไม่ได้ใช้เวลาระบุเหตุการณ์ในอดีตเลย ทั้งนี้คนถามได้ระบุแล้วเรียบร้อยนั่นเอง
2. ใช้เล่ากิจวัตรหรือนิสัยที่เคยทำในอดีต แต่ปัจจุบันนี้ไม่ใช่แล้ว โดยมีคำบ่งบอกความถี่กำกับด้วย คล้ายกับpresent simple tense (หลักการใช้ข้อ 2)
  • คำบ่งบอกความถี่ เช่น always,  sometimes, never เป็นต้น
    She always went to school late last month.
    หล่อน ไป โรงเรียน สาย เสมอ เมื่อเดือน ที่แล้ว (เดือนนี้ไม่มาสายแล้ว)We sometimes watched movies at home last year.
    เรา ดู หนัง ที่ บ้าน เป็นบางครั้ง เมื่อปี ที่แล้ว (ปีนี้ไปดูที่โรงหนังอย่างเดียว)I never read books in the evening last month.
    ฉัน ไม่เคย อ่าน หนังสือ ใน ตอนค่ำ เมื่อเดือน ที่แล้ว (เดือนนี้ต้องอ่านเพราะใกล้สอบแล้ว)
3. ใช้เล่านิทาน ส่วนใหญ่จะมีคำว่า Long time ago หรือ Once upon a time (นานมาแล้ว)
ที่มา:
http://xn--12cl9ca5a0ai1ad0bea0clb11a0e.com/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-past-simple-tense/
นามนับได้ (Countable) และคำนามไม่ได้ (Uncountable Nouns)
Countable Nouns ( นามนับได้)
  เป็นคำนามที่เราสามารถนับจำนวนเป็นของมันได้ เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีรูปร่าง ที่จับต้องได้หรือจับต้องไม่ได้
ที่จับต้องได้มี (รูปร่าง) เช่น boy, chair, book, school, country, lady, biscuit
ที่จับต้องไม่ได้ (ไม่มีรูปร่าง)  เช่น  day, month, year, weekend, journey
กิจกรรมบางอย่าง เช่น job, assignment
ตัวอย่างคำนามนับได้อื่น เช่น
 animal, bag, battery, bottle, bottle,
 box, cat, chair, coin, cup, dog, dollar
 fork, job(*), journey(*), man, note, person,
 plate, report(*), song(*), suitcase, table, tip, view
ดังนั้นคำนามนับได้จึงมีทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์
เอกพจน์ (Singular)dogcountrymanfoot
พหูพจน์ (Plural)dogscountriesmenfeet
ตัวอย่าง
  My son is running. ลูกชายของฉันกำลังวิ่ง
  Your sons are sitting. พวกลูกชายของคุณกำลังนั่ง
  ASEAN has 10 countries. อาเซียนมี 10 ประเทศ
  Thailand is a country in ASEAN. ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งในอาเซียน

การนำคำนามนับได้ไปใช้ในประโยค
1.  นามนับได้เอกพจน์ ต้องนำหน้าด้วย ตัวนำหน้าคำนาม (determiners)  ตัวใดตัวหนึ่งนึ่ง  เช่น
  I have a cat. (ไม่ใช่ I have cat.)
  Where is the room? (ไม่ใช่ Where is room?)
  Does he want this pen?
2. คำนามนับได้พหูพจน์อาจจะนำหน้าด้วย  articles หรือไม่ก็ได้ เช่น
  I like to feed the cats. (เฉพาะเจาะจง ต้องมี the นำ)
  Dogs are interesting pets. (ไม่เฉพาะเจาะจง ไม่ต้องมี article)
  I want my books.  (my ตัวนำหน้าคำนาม)
Uncountable Nouns  (นามนับไม่ได้)   เป็นคำนามที่นับไม่ได้ เนื่องจากภาษาอังกฤษมองสิ่งนั้นในภาพรวมและเห็นสิ่งนั้นไม่สามารถจะแยกเป็นส่วนได้  ซึ่งรวมได้ถึงความคิด การกระทำต่างๆที่เป็นรูปธรรม (abstract nouns) ด้วย เช่น

 1. คำนามนับไม่ได้ที่เป็นรูปธรรมหรือจับต้องได้ (Concrete) เช่น 
  water, milk, butter, furniture, luggage, iron,
  equipment, clothing, garbage, junk
 2. คำนามนับไม่ได้ที่เป็นนามธรรมหรือจับต้องไม่ได้ (Abstract) เช่น
    anger, courage, satisfaction, happiness, knowledge
 3. ชื่อภาษา เช่น English, German, Chinese
 4. กีฬา เช่น football, tennis, badminton
 5. ชื่อวิชาต่างๆ เช่น  Mathematics, Biology, Physics
 6. กิจกรรมต่างๆ เช่น sleeping, running, swimming, eating
 7. คำนามนับไม่ได้อื่นๆ เช่น
   advice, art, breakfast, butter cereal currency, difficulty, education,
   electricity, furniture, gas, gossip, happiness, homework, information, love,
   luggage, machinery, mail, money, music, news, permission, power,
   research, rice, scenery, sugar, traffic, travel, water, weather, wine, work
การนำคำนามไม่ได้ไปใช้
1. เราใช้คำนามไม่ได้ เหมือนเป็นคำนามเอกพจน์ (singular noun) จึงมีเฉพาะรูปที่เป็นเอกพจน์เท่านี้น
  This news is very important.
  His luggage looks heavy.
  The weather is so hot today.
2. เราสามารถนับคำนามนับไม่ได้โดยการเพิ่มหน่วยไว้ด้านหน้าคำนามนั้น
a piece of news,
a bottle of water,
a grain of rice
a bag of flour
a bag of rice
a bar of chocolate
a bar of gold
a bar of soap
a bottle of milk
a bottle of wine
a bowl of rice
a bowl of soup
a box of paper
a carton of orange juice
a carton of milk
a cup of hot coffee
a drop of blood
a drop of oil
a drop of water
a glass of juice
a drop of water
a grain of rice
a grain of sand
a grain of truth
a piece of advice
a piece of furniture
a piece of paper
a roll of toilet paper
a slice of bread
a slice of cheese
a slice of meat
a spoonful of sugar
a tablespoon of honey
a tablespoon of ketchup
a teaspoon of medicine
a tube of glue
a tube of lipstick
a tube of toothpaste

 3. เราสามารถใช้ some, any, a little และ much นำหน้าคำนามนับไม่ได้
I have got some money.
Have you got any water?
She has got a little money.
I have not got much rice.

 4. เราใช้ How much ในการถามจำนวนของคำนามนับไม่ได้
How much money do you have?
How much salt do you have?
How much oil does he have?
 คำนามบางคำที่เป็นได้ทั้ง คำนามนับได้และนับไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานและความหมาย เช่น
abuse (ใช้ในทางที่ผิด)
adulthood (ความเป็นผู้ใหญ่)
afternoon (ตอนบ่าย)
age (อายุ)
anger (ความโกรธ)
appearance (สิ่งที่ปรากฏแก่ตา)
art (ศิลปะ)
beauty (ความสวย)
beer (เบียร์)
belief (ความเชื่อ)
breakfast (อาหารเช้า)
cheese (เนยแข็ง)
chicken (ไก่)
childhood (ความเป็นเด็ก)
college (วิทยาลัย)
competition (การแข่งขัน)
crime (อาชญากรรม)
culture (วัฒนธรรม)
death (ความตาย)
disease (โรค)
divorce (การหย่าร้าง)
drama (บทละคร)
duck (เป็ด)
education (การศึกษา)
environment (สิ่งแวดล้อม)
evening (ตอนเย็น)
exercise (แบบฝึกหัด ออกกำลัง)
fact (ความจริง)
faith (ความเชื่อ)
fiction (เรื่องอ่านเล่น, เรื่องที่แต่งขึ้น)
film (ภาพยนต์)
fish (ปลา)
flavor (กลิ่น)
food (อาหาร)
friendship (ความเป็นเพื่อน)
fruit (ผลไม้)
glass (แก้ว)
government (รัฐบาล)
hair (ผม)
history (ประวัติศาสตร์)
innocence (ความไร้เดียงสา)
jail (คุก)
jealousy (ความอิจฉา)
language (ภาษา)
law (กฏหมาย)
liberty (เสรีภาพ)
life (ชีวิต)
love (ความรัก)
lunch (อาหารกลางวัน)
man (คน)
marriage (การแต่งงาน)
meat (เนื้อสัตว์)
metal (โลหะ)
milk (นม)
morning (ตอนเช้า)
nature (ธรรมชาติ)
paper (กระดาษ)
passion (ความหลงไหล)
people (ประชาชน)
personality (บุคลิกภาพ)
philosophy (ปรัชญา)
power (พลัง)
reading (การอ่าน)
religion (ศาสนา)
revision (การทบทวน)
rock (หิน)
school (โรงเรียน)
science (ศาสตร์,วิทยาศาสตร์)
shock (ตกใจ งงงวย)
society (สังคม)
sorrow (ความเศร้าโศก)
space (ที่ว่าง)
speech (สุนทรพจน์)
spirit (วิญญาณ, จิตใจ, เหล้า, ภูตผี)
stone (หินมีค่า)
strength (ความเข้มแข็ง)
teaching (การสอน)
temptation (สิ่งล่อ ยั่วยวนใจ)
theater (โรงละคร)
theory (ทฤษฎี)
time (เวลา)
trouble (ปัญหา)
wine (เหล้าองุ่น)

ตัวอย่าง
hair เส้นผมคำนามนับได้  There are three hairs in my dish.
คำนามนับไม่ได้  He does not have much hair.

light หลอดไฟ, แสงสว่าง
คำนามนับได้   There are two lights in our bedroom.
คำนามนับไม่ได้  Close the curtain. There is too much light!
noise เสียงดัง, เสียงรบกวน
คำนามนับได้ I thought I heard a noise.
คำนามนับได้ There are so many different noises in the factory.
คำนามนับไม่ได้ It is difficult to work when there is so much noise.
paper หนังสือพิมพ์, รายงาน, กระดาษ
คำนามนับได้  Have you got a paper to read? (newspaper)
คำนามนับได้  He is reading his student papers.
คำนามนับไม่ได้ I want to leave a massage. Have you got some paper?
room ห้อง, ที่ว่าง
คำนามนับได้  Our house has seven rooms.
คำนามนับไม่ได้ Is there room for 3 persons to sit here?
time เวลา, ครั้ง
คำนามนับได้ We had a great time at the party.
คำนามนับไม่ได้ How many times have I told you ?

work ผลงาน, งาน(อาชีพ)
คำนามนับได้ He had many greatest works.
คำนามนับไม่ได้ I have no money. I need work!
ที่มา:
http://www.kruteeworld.com/default.aspx?submenu=true&type=link&id=B000000002&MainSubMenu_id=H000000010




การใช้ Articles a, an, the

 การใช้ Articles a, an, the
คำ article แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
A. Indefinite Article ได้แก่ a, an (ใช้กับคำนามนับได้ที่ไม่เจาะจง)
B. Definite Article ได้แก่ the
 (ใช้กับคำนามนับได้ที่เจาะจง)

A. Indefinite Article ได้แก่ a, an
หลักการใช้ a, an
1. ใช้ an นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ a, e, i, o,u หรือออกเสียงสระไม่ว่าจะเขียนขึ้นต้น
ด้วยพยัญชนะก็ตามเช่น
an elephant, an hour, an umbrella, an apple
2. ใช้ a, an นำหน้าคำนามเอกพจน์ที่นับได้เสมอที่มีความหมายเป็น"หนึ่ง"
She has a dog.
Give me an apple.
This is a durian.
3. ใช้ a, an นำหน้าคำที่บอกอาชีพ
I am a student .
I want to be a teacher.
4. ใช้ a, an นำหน้านามเอกพจน์ที่แปลเป็นต่อ...(หน่วย)
Oranges cost 50 baht a kilogram.
5. ใช้ a กับการเจ็บไข้ได้ป่วยเช่น
a stomachache, a headache, a fever
I have eaten papaya salad at lunch and now I have a stomachache.
6. ใช้ a, an ในประโยคอุทานตามหลัง what เช่น
What is this ? It’s a pear.
B. Definite Article ได้แก่ the
หลักการใช้ the
1. ใช้กับคำนามนับได้เอกพจน์และพหูพจน์ที่เป็นการชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าคนไหน
อันไหน สิ่งไหน
2. ใช้ the นำหน้าคำนามที่มีสิ่งเดียว
the sun, the moon, the sky
3. ใช้ the นำหน้าชื่อครอบครัวเช่น
The Browns, The Lees
4. ตามปกติเราใช้ the นำหน้าชื่อหนังสือพิมพ์เช่น
The Nation, The Times, The Sun
5. ใช้ the กับชื่อ สถานที่
ทะเล the Pacific
เทือกเขา the Himalayas
แม่นํ้า the Mississippi
ทะเลทราย the Sahara
โรงแรม the Plaza Hotel
โรงหนังโรงละคร the Playhouse
พิพิธภัณฑ์ the National Museum
ชื่อประเทศที่มีคำว่า Republic , Kingdom , State
6. ใช้ the เมื่อเราพูดโดยทั่วไปในเรื่องเครื่องดนตรี
the piano
I play the guitar.
7. ใช้ the ก่อนคำว่า same
Your shirt is the same color as mine.
8. ใช้ the + คำคุณศัพท์เมื่อกล่าวถึงกลุ่มบุคคลเป็นพิเศษ
the rich, the sick, the poor
9. ใช้ the กับคำนามที่เราได้กล่าวมาแล้วทั้งผู้พูดและผู้ฟังรู้ว่ากำลังคิดถึงสิ่งใด
ตัวอย่างประโยคที่ใช้ Article a, an และ the
1. There is plate one the table. มีจานอยู่บนโต๊ะ ใบ
2. I am student. ฉันเป็นนักเรียน
3.There is a little salt in the bottle. มีเกลืออยู่เล็กน้อยในขวด
กรณีที่ไม่ใช้ Article
1. ชื่อมื้ออาหาร เช่น breakfast
2. ชื่อทะเลสาปภูเขา เช่น Lake Superior
3. ชื่อภาษาชื่อวิชา เช่น French, Mathematics
4. ชื่อวัน เช่น Wednesday
5. เทศกาลฤดู เช่น Christmas, Easter, spring, summer, winter
6. ชื่อเมืองรัฐประเทศ เช่น Texas, Thailand
7. ชื่อทวีป เช่น Asia, Europe
8. นามนับไม่ได้ และนามพหูพจน์นามไม่มีตัวตนนามที่บอกวัสดุ ไม่ใช้ และ an เช่นtigers, life, wood
9. สำนวนเกี่ยวกับ bed, home, work ต่อไปนี้ไม่ใช้ the คือ go to bed, in bed, finish work, start work, at work, go home, at home
10. คำนามต่อไปนี้ ในความหมายปกติไม่ใช้ the แต่ถ้าใช้ในความหมายอื่นจะใช้ theได้แก่ bed, church, court, prison, hospital, market, class, school, college, university เช่น
- go to bed = ไปนอน แต่ go to the bed = ไปที่เตียง
- go to prison = ถูกขังคุก แต่ go to the prison = ไปที่คุก(เพื่อไปทำอย่างอื่นไม่ได้ไปเพื่อถูกขัง)
11. ไม่ใช้ article ตามหลัง kind of, sort of, type of, make of, brand of, variety of, species of, เช่น this brand of cigarette
12. Verb ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้ง คัดเลือก คือ appoint, choose, elect, select หรือmake ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ดำรงตำแหน่งที่มีเพียงตำ แหน่งเดียว ไม่ต้องใช้ articleหน้าตำแหน่งนั้น เช่น
- He was made President.
13. ชื่อกีฬาทุกชนิด
ที่มา:
http://eng4-6.blogspot.com/2013/03/articles-an-the.html

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

                                                       7 วิธีเรียนเก่ง

 1. นอนให้เพียงพอ 
เป็นการเริ่มต้นข้อแรกสำหรับวิธีเรียนเก่งที่เรานำมาแนะนำกันวันนี้ เราต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง/วัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้ว่าหากเราต้องตื่นตอนเช้าต้องเข้าโมงไม่เกินกี่โมง แต่ทั่วๆ ไปโดยเฉลี่ยแล้วจะไม่เกิน 5 ทุ่ม เพราะหากเราพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้สมองไม่โลดแล่นและหากเราเข้านอนและตื่นตรงเวลาทุกวันจะทำให้เกิดความเคยชินและไม่อ่อนเพลีย สมองสามารถทำงานได้เต็มที่ ส่วนอีกอย่างก็สำคัญมาก ๆ ก็คือ ต้องทานอาหารเช้าทุกวัน เพื่อร่างกายจะได้มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างวัน
2.การปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ในห้องเรียน
แนะนำว่าใหเลือกที่นั่งด้านหน้าและใกล้คุณครูให้มากที่สุดเป็นดีเพราะหากเรานั่งด้านหลังอาจจะโดนเพื่อน ๆชวนคุย รบกวนสมาธิได้ หรือ หาก นั่งข้างหน้าต่าง หรือ ข้างประตู อาจทำให้เราสนใจสิ่งต่าง ๆด้านนอกมากกว่าบทเรียนในห้องเรียน และหากมีข้อสงสัย “อย่าอาย” ที่จะถามอาจารย์ เพื่อที่จะได้คำตอบในสิ่งที่เราไม่รู้ได้อย่างถูกต้อง

3. ตาดู หูฟัง มือเขียน กล่าวคืออันดับแรกเราต้องมีสมาธิในการฟังเสียก่อน หลังจากนั้นก็ทำความเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูด เสร็จแล้วก็จดสิ่งที่เราเข้าใจลงไปในสมุด กันลืม แต่ไม่ควรฟังไปเขียนไป เพราะเราจะไม่มีเวลาทำความเข้าใจ และไม่รู้ว่าไอ้สิ่งที่เราจดมานั้นหมายความว่าอย่างไรวิธีเรียนเก่งวิธีนี้ ได้ผลแน่นอน รับรอง

4.การเตรียมตัวสำหรับชั่วโมงต่อไปเป็นวิธีเรียนเก่งที่ได้มาจากเจ้าของเกียตนิยมอันดับหนึ่งมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ อันดับแรก ในจดโน้ตหัวข้อที่เรายังไม่เข้าใจในคาบนี้เก็บไว้ถามอาจารย์ในคาบหน้า เสร็จแล้วเขียนเป็นหัวข้อใหญ่ ๆ ว่าวันนี้เรียนอะไรไปบ้างเผื่อที่จะสามารถกลับไปทบทวนบทเรียนที่เรียนมาในวันนี้ที่บ้านได้ และต้องตัดความไม่สบายใจ หรือ เรื่องที่ค้างคาใจในชั่วโมงก่อนหน้านี้ให้หมด

5.จุดประสงค์ของหลักสูตร ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่าหลักสูตรในชั่วเรียนนั้น ๆ มีจุดประสงค์เพื่ออะไรเราจะได้รู้ว่าเราควรเรียนอะไร เพื่อนบรรลุจุดประสงค์ของหลักสูตรนั้น ๆ

6. จับประเด็น ควรสังเกตว่าอาจารย์เน้น หรือย้ำคำไหนเป็นพิเศษ ตรงไหนที่อาจารย์ย้ำมากกว่าหนึ่งรอบ และหัวข้อไหนที่อาจารย์บอกว่าจะออกสอบให้บันทึกไว้เพื่อจะได้กลับเป็นทบทวนเป็นพิเศษและอย่าลืมสังเกตแบบฝึกหัดที่อาจารย์ให้มาทำที่บ้าน เพราะนั่นก็คือแนวข้อสอบเช่นกัน

7. อย่ามีอคติกับผู้สอน เพราะจะทำให้ เราไม่อยากเรียนวิชานั้น ๆ จะรู้สึกว่าการเรียนในชั่วโมงนั้นน่าเบื่อหน่าย ซึ่งจะทำให้มีผลต่อคะแน และความเข้าใจของเราเอง เราควรปรับใจเพื่อทำให้การเรียนของเราออกมาสมบูรณ์ที่สุด


ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tewfree.com/7-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%87/


                       
                ที่มา:https://www.youtube.com/watch?v=ctT3aJGSNbo